นับตั้งแต่ “ฝีดาษลิง” ไวรัสร้ายจากทวีปแอฟริกาตกเป็น “ข่าวใหญ่” มีการแพร่ระบาดไปหลายประเทศในทวีปยุโรปอย่างรวดเร็วทำให้ “ไวรัสท้าวแสนปม” ตัวนี้กลายเป็น “มัจจุราชตัวใหม่” ที่ทำให้โฮโมซาเปี้ยนทั่วโลกต่าง “หวาดผวา” ไปตามๆ กัน
โดยเฉพาะคนไทย ซึ่ง “มนุษย์เผ่าพันธุ์ตกใจง่าย”แม้ “โรคท้าวแสนปม” จะยังไม่แพร่ระบาดมาถึง แต่กุมารสยามและกุมารีไทยแลนด์ต่างก็กลายเป็น “กระต่ายตื่นตูม” พากัน “เกลียดกลัวและระแวง” ว่ามีโอกาสติดเชื้อ“ฝีดาษลิง” กันทั่วหน้าอย่างเคราะห์ร้าย
นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2514 เป็นต้นมา คนไทยต่างไม่ได้รับการ “ปลูกฝีป้องกันโรคฝีดาษ” เพราะ WHO ได้ประกาศว่า “โรคฝีดาษ” ได้หายไปจากพิภพแล้ว
จู่ๆ เมื่อเกิดข่าว “ฝีดาษลิง” ได้ระบาดและเริ่มแพร่กระจายไปยังประเทศต่างๆ ทำให้คนไทยที่อายุต่ำกว่า 60 ปี ลงมา ต่างกลายเป็น “คุณชายตระหนกศักดิ์และคุณหญิงตระหนกศรี” ที่กลัว “โรคท้าวแสนปม” จนขึ้นสมอง
กลัวถึงขั้น “เกิดฟีเวอร์” โดยชายใจพระและหญิงใจบุญไม่กล้าเดินทางไปให้อาหารแก่ลิงในจังหวัดลพบุรี ราชบุรี เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี และจังหวัดอื่นๆ จนวานรทั้งหลายต่าง “จ๊ะเอ๋” กับโรค “ทุพภิกขภัย” อดอยากถึงขั้นยกโขยงเข้าแย่งอาหารจากชาวบ้าน
ที่จังหวัดเพชรบุรี นักเรียนบางราย “ถูกฝูงลิงที่สวมวิญญาณนักเรียนอาชีวะ” เข้ารุมกัดและรุมทำร้ายเพื่อแย่งอาหาร จนได้รับบาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาล จนกลายเป็นข่าวเท็จว่า “หมอตรวจว่าติดเชื้อฝีดาษหรือไม่?”
“ข่าวร้อนฉ่า” ดังกล่าว ทำให้ “ฝูงลิงกังจังโก้” และ “ฝูงลิงแสมจังก้า” ต่างกลายเป็น “ลิงแพะ” ที่ถูกผู้คนรังเกียจและหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น
ในที่สุด “หมอหลายท่าน” ก็ต้องออกมาชี้แจงว่า “ฝีดาษลิง” ไม่ได้มาจากลิง และแพร่เชื้อโดยพวกหนู กระรอก กระแต หรือ สัตว์ฟันแทะ” ทั้งหลาย
ดังนั้น เพื่อไม่ให้ลิงในประเทศไทยกลายเป็น “ลิงแพะ”ที่สังคมรังเกียจ จึงน่าจะเรียกโรค “ฝีดาษลิง” ที่กำลังระบาดเป็นชื่อโรค “ฝีดาษวานร” เพื่อไม่ให้คนไทย “เกลียดลิง”
กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม